12/08/2551

พาราเม้าท์ปัดฝุ่นโปรเจคท์ยักษ์ STAR TREK เป็น TOP 3 ปี 2009


พาราเม้าท์ปัดฝุ่นโปรเจคท์ยักษ์ STAR TREK เป็น TOP 3 ปี 2009
ระดับ TRANSFORMERS 2 และ G.I.JOE

หนังใหม่จากผู้กำกับที่มาแรงมากๆ JJ Abrams (จาก Lost, Mission Impossible 3, Cloverfield) ปล่อยหมัดเด็ดออกมาแล้ว กับ STAR TREK ตัวอย่างที่สองที่เผยให้เห็นทีมดารานำชุดใหม่ หล่อ เลือดร้อน เร้าใจ ตอนนี้กำลังเป็นเทรลเลอร์ร้อนของหลายๆเวบทั้ง apple.com หรือ กระทั่ง youtube.

ทางค่ายพาราเม้าท์ยินดีกับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมกับตัวอย่างภาพยนตร์นี้ และได้เตรียมแผนงานปั้น STARTEK เวอร์ชั่นใหม่นี้ ให้เป็นภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี 2009 ที่หวังผลความสำเร็จในระดับเดียวกับ สุดยอดโปรเจคท์อย่าง TRANSFORMERS 2 และหนังใหม่อีกเรื่องคือ G.I.JOE

ทางผู้กำกับมือทองอย่าง เจเจ อบรามห์ ได้กล่าวว่า “STARTREK เป็นโปรเจคท์พิเศษที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
สำหรับตัวเขา ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นพอๆกับกดดันเป็นอย่างยิ่ง และได้ทราบว่าทางพาราเม้าท์ให้ความสำคัญกับภาพยนตร์เรื่องนี้ในระดับเดียวกับ สุดยอดแอ็คชั่นไซไฟของปี 2009 อย่าง ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 2 และ จีไอโจ ด้วย”

ภาพยนตร์เรื่อง STARTREK (สตาร์เทร็ค) นำแสดงโดย คริส ไพน์ , แซคคารี่ ควินโต, ไซมอน เพกก์ , อีริค บานา เตรียมเปิดตำนานการผจญภัยแอ็คชั่นไซไฟในห้วงจักรวาล 5 พฤษภาคม 2009

Trailer1
Trailer2
Spot
Image
Reviews:

12/07/2551

คอนเสิร์ตสุดเท่ส่งท้ายปีเก่า


สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมกับ สำนักพิมพ์ไปทำไม ขอเชิญร่วมงานสืบสานวัฒนธรรมแห่งสายน้ำ
"ต้นสายปลายน้ำ ดนตรีมีชีวิตอุทิศเพื่อสิ่งแวดล้อม"
"Fusion Folk Band"
คอนเสิร์ตครั้งสำคัญของ อารักษ์ อาภากาศ และแขกรับเชิญที่คุณคาดไม่ถึง
มณพ วโรนิธิภาส: เปียโน, แซกโซโฟน, ฟรุ๊ต
อู๊ดดึ้ บลู: กีตาร์ไฟฟ้า
ชาตรี เพชรศิริ: กลอง
ฮิเดกิ โมริ: อิเล็กทรอนิค เบสไฟฟ้า

ไม่ว่าจะเกิดสักกี่ชาติ ไม่ควรพลาดงานนี้
งานนี้จะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 13 และ วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม 2551 เวลา 10.00 น- 21.00 น.

สถานที่จัดงาน:
หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

บัตรราคา 450 บาท, 800 บาท(แถมหนังสือ 2 เล่ม), 1600 บาท (แถมหนังสือของสำนักพิมพ์ไปทำไมมูลค่า 900 บาท)

ติดต่อ ซื้อบัตรได้ที่:
ร้านหนังสือเดินทาง 0-2629-0694 และศูนย์หนังสือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ (จันทร์-ศุกร์เวลา 8.30-19.00 น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-16.00 น.) โทร 0-2221-0633 , 0-2613-3890

รายได้ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่าย สมทบทุน
- ชมรมรักษ์ต้นน้ำเจ้าพระยา
- อนุรักษ์ตลาด 100 ปี คลองบางหลวง
- ศิลปิน ตี๋ ชิงชัย อุดมเจริญกิจ ผู้ถูกกระทำจากเหตุการณ์วันที่ 7 ต.ค. 51 จนเสียแขนข้างขวา

10/29/2551

2 เรื่อง 2 แนว กับดราม่าซีรี่ส์ใหม่ล่าสุดจากช่อง STAR WORLD



ปาร์ตี้เปิดตัว '90210' ดราม่าใหม่ Zip Code เดิม และภาคใหม่ล่าสุดของ 'HEROES'

90210 ดราม่าใหม่ Zip Codeเดิม ดราม่าซีรีส์สุดฮิตที่เคยโด่งดังมากเมื่อ 10 กว่าปีก่อน และถูกนำมาสร้างใหม่ โดยเมื่อเปิดตัวครั้งแรกในอเมริกา ได้สร้างสถิติการเปิดตัวของซีรีส์ที่มียอดผู้ชมสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ CW Network

90210 สำรวจชีวิตผ่านมุมมองของสมาชิกครอบครัววิลสัน ที่ย้ายถิ่นฐานจากรัฐแคนซัส ไปยัง Beverly Hills โดยลูกวัยรุ่นทั้งสองคนกลายเป็นนักเรียนใหม่ของ West Beverly Hills High ซึ่งเพื่อนๆ ร่วมห้องเรียนล้วนเป็นเด็กสาวผู้มั่งคั่งและถูกตามใจจนเคยตัว และที่ต้องลำบากใจก็คือ บิดาของพวกเขาได้เข้ารับตำแหน่งเป็นอาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนอีกด้วย

ติดตามชมตัวละครหน้าใหม่ๆ สังสรรค์กับเพื่อนเก่าๆ และเตรียมตัวพบกับเรื่องราวชีวิตอันอื้อฉาวของผู้อยู่อาศัยในย่าน Beverly Hills ที่มีรหัสไปรษณีย์ 90210 เมื่อดราม่าซีรีส์เรื่องใหม่ที่ร้อนแรงที่สุด เปิดตัวทางช่อง STAR WORLD ทรู วิชั่นส์ 37 ทุกวันอังคาร เวลา 20:00 น. โดยออกอากาศครั้งแรกในวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายนนี้

และแล้วการรอคอยก็สิ้นสุดลง! เมื่อซีซั่น 3 ซีซั่นใหม่ล่าสุดของ Heroes กลับมาท่ามกลางการตั้งใจรอคอยของแฟน ๆ โดยจะเปิดตัวครั้งแรกที่เดียวทางช่อง STAR WORLD หลังจากออกอากาศในอเมริกาได้ไม่กี่สัปดาห์

ซีซั่นใหม่ล่าสุดนี้มีชื่อว่า “Volume 3: Villains” การเดิมพันต่าง ๆ สูงขึ้น เหล่าวายร้ายนั้นโหดขึ้นมาก และการคุกคามของหายนะก็ไม่เคยยิ่งใหญ่เท่านี้มาก่อน โลกจะต้องเผชิญหน้ากับสุดยอดวายร้ายกลุ่มหนึ่งที่พัฒนาตัวเองไปอย่างสูง 


ติดตามดูว่าปริศนาที่ทิ้งท้ายไว้ซีซั่นที่แล้วจะถูกคลี่คลายลงอย่างไร และครั้งนี้ฮีโร่ของเราจะมีวิธีใดจัดการกับเหล่าวายร้ายเพื่อปกป้องโลกให้พ้นภัย ได้ทางช่อง STAR WORLD ทรู วิชั่นส์ 37 ทุกวันพฤหัส เวลา 21:00 น. โดยออกอากาศครั้งแรกในวันพฤหัสที่ 4 พฤศจิกายนนี้

พร้อมเชิญร่วมปาร์ตี้ปิดห้องนั่งเล่น เปิดตัว 2 ซีรี่ส์ใหม่ ในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ ติดตามรายละเอียดได้ทาง www.truevisionstv.com

8/19/2551

Night Live บนเส้นทางชีวิตคนดนตรีกลางคืนในเมืองเชียงใหม่


จะว่าไปแล้วทุกยุคทุกสมัยล้วนมีการเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งการเติบโตทางด้าน กระแสดนตรีในเชียงใหม่ตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ร้านอาหารริมแม่น้ำที่เป็นยุคแรกๆของชีวิตคนดนตรีในเชียงใหม่เมื่อ เกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ที่กระแสดนตรีที่ตื่นตัวที่สุด คงไม่พ้นย่านนิมมานเหมินท์
เดอะตุ๊ก-วัชร เจริญพร เจ้าพ่อบลูส์ร็อก แห่งร้านอาหารบราสเซอรี่ ริมแม่น้ำปิง คงทำให้เราได้เห็นพัฒนาการทางดนตรีในสมัยก่อนจนถึงสมัยนี้ได้อย่างชัดเจน ที่สุด
" เชียงใหม่สมัยก่อนไม่พลุกพล่านแบบนี้ มันเงียบ มันน่ารัก วงดนตรีก็จะมีเป็นเครื่องเป่า เป็นลักษณะของไนท์คลับ บรรยากาศเป็นกันเองดี ส่วนลูกค้าก็เป็นคนไทย เป็นฝรั่งฮิปปี้จะมีกันเยอะนะ สมัยก่อนเชียงใหม่ก็เหมือนปายน่ะ มันสวย แต่ก็เปลี่ยนไปเร็วเหมือนกัน"
ถึงแม้เชียงใหม่ในสมัยก่อนที่ตุ๊กบอกว่าคล้ายกับเมืองปาย จะมีภาพลักษณ์ที่ต่างจากเชียงใหม่ในวันนี้อย่างสิ้นเชิง แต่ทว่ากลิ่นอายของบรรยากาศและความหอมหวนทางด้านเสียงดนตรีไม่ว่าจะยุคไหนๆ ยังคงตลบอบอวลไม่ต่างกัน ซึ่งตุ๊กยังคงบรรยายถึงบรรยากาศความต่างในอดีตและปัจจุบันได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการประชาสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปหรือลักษณะของการแสดง ดนตรีในสมัยก่อน
" เมื่อก่อนตอนเราเรียนมอชอ เขาก็จะมีการนำวงดนตรีมาแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม บางทีก็เก็บเงินบ้าง ฟรีบ้าง วงดีๆ ปีหนึ่งก็ได้ดูกันคนละครั้งสองครั้ง งานคอนเสิร์ตรุ่นเราก็จะหารายได้ให้ชมรมกันด้วยการจัดฉายหนัง ซึ่งสมัยก่อนเวลาฉายหนังก็จะมีดนตรีเล่น เฉพาะยุคเรานะ ก็สนุกสนานดี เราซ้อมก็ได้ขึ้นไปเล่นกัน โอ้โห เท่"
ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านดนตรีเท่านั้นที่เปลี่ยนไป บรรยากาศบนถนนท่าแพย่านยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ก็ต่างจากสมัยนี้โดยสิ้นเชิง " สมัยก่อน คนก็มากินข้าวมาฟังเพลง เงียบๆ แบบ เชียงใหม่มันเท่ ฝรั่งที่มาอยู่ที่นี่ก็ไม่กระจายตัว เหมือนเป็นชุมชนเล็กๆ อย่างร้านที่มีบาร์ ที่มีผู้หญิง ก็ใช่ว่าจะต้องออกมานั่งหน้าร้านประเจิดประเจ้อกันเหมือนสมัยนี้ พวกเราก็ไปเล่นดนตรีกัน คนเขาก็ฟังเพลงกันนะ ไม่ใช่จะมาซื้อขายกันอย่างเดียว มันเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันแหละเราว่า" ซึ่งในสมัยยี่สิบปีที่แล้วนั้น เพลงในยุค s60-s70 ยังเต็มไปด้วยความหลากหลายทางด้านแนวดนตรี
การเริ่มต้นบนเส้นทางดนตรีของแต่ละคนย่อมต่างกันไปตามยุคสมัย ตั้งแต่ตุ๊กที่เริ่มหัดจับกีต้าร์ครั้งยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เหตุผลสำคัญจากการการที่ได้รับอิทธิพลทางด้านทางฟังเพลงมาตั้งแต่สมัยเด็ก โดยอาศัยการฝึกฝนในลักษณะของครูพักลักจำมาโดยตลอด จากนั้นจึงเข้าสู่ชีวิตนักดนตรีอย่างเต็มตัวที่ร้านอาหารริเวอร์ไซด์เป็น แห่งแรก ก่อนที่จะตัดสินใจทะยานข้ามฟ้าไปหาประสบการณ์ทางด้านงานดนตรีที่ต่างประเทศ แล้วจึงกลับมาประกอบอาชีพนักดนตรี พร้อมๆ ไปกับการเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหาร 'บราสซารี่' จนมาถึงปัจจุบัน เป็นเวลาร่วม 20 ปี และตุ๊ก-บราสซารี่ นี่เองที่เป็น ไอดอลสำหรับนักดนตรีเชียงใหม่อีกหลายคน โดยเฉพาะ เอ๋-อนุชิต นิยมเดชา นักดนตรีแนวเร็กเก้ที่ยึดอาชีพนักดนตรีเป็นอาชีพหลัก ทั้งยังใช้ดนตรีในการบำบัดจิตใจ และจรรโลงใจ ยามป่วยหรือเศร้า พร้อมทั้งตอบสนองอารมณ์ ความรู้สึก ที่เป็นตัวเขามากกว่าสิ่งอื่นใด
" บางครั้งเรามีความรู้สึกว่า การที่ต้องเอาดนตรีมาเลี้ยงตัวเองดูค่อนข้างจะเอาเปรียบที่เอาความรักมา หากิน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับฝืนตัวเองว่าเราต้องทำเพื่อแลกกับเงินมา เพราะเรามีความสุขกับการที่เราได้ทำมันมากกว่า" นอกจากนั้น เขายังได้แสดงแนวคิดถึงหลักสำคัญของการพัฒนางานดนตรีว่าต้องอาศัยการเรียน รู้และพัฒนาตัวเองในทุกขณะที่ยังมีลมหายใจ และขณะเดียวกันถึงแม้ว่าเชียงใหม่จะเต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒธรรมทาง ดนตรี แต่กลับไปได้ดีกับแนวเพลงเร็กเก้ ที่มีความหลากหลายและเรียบง่ายอยู่ในตัวเอง
อีกทั้ง ฝีมือนักดนตรีเชียงใหม่ในปัจจุบันก็สามารถพัฒนางานดนตรีได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่ง สามารถพัฒนามาเป็นอาชีพประจำได้หากรู้จักใช้จ่ายอย่างมีความพอดี แต่จะว่าไปยังมีนักดนตรีอีกไม่น้อยที่มองว่า 'อาชีพนักดนตรีเป็นงานที่ไม่ยั่งยืนและไม่แน่นอน'
มืด อภิลักหณ์ แสงทรัพย์ ปัจจุบันรับงานประจำตำแหน่งเว็บดีไซน์อยู่ที่บริษัท Click 2 Solution มีรายได้เสริมโดยการเป็นนักร้องที่ร้านอาหาร Old School ร่วมแสดงความเห็นในเรื่องของอาชีพนักดนตรีในเชียงใหม่
" ที่เราไม่ยึดเป็นอาชีพหลักก็เพราะ เราก็ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านเขาจะปรับเปลี่ยนร้านเมื่อไหร่ จะปรับแนวทางวงดนตรีไปทางไหน หรือว่าเกิดช่วงโลว์ ซีซัน จะไม่จ้างขึ้นมาจะทำอย่างไร สู้เราทำงานกลางวันเพื่อการันตีตัวเองไว้ดีกว่า เพราะเราก็ไม่ได้เป็นคนที่ทางบ้านมีอะไรมากมาย"
มืดเริ่มเล่นดนตรีครั้งแรกกับเพื่อนๆในสมัยเรียนที่เทคโนโลยีราชมงคล และได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดของยามาฮ่าในขณะนั้น แต่เมื่อเรียนจบเขาและเพื่อนในวงก็ได้แยกย้ายกันไปทำงานตามสาขาที่ตัวเอง ถนัดโดยเขาเลือกทำงานทางด้าน เว็บ ดีไซน์ เป็นงานประจำ ขณะเดียวกันเขาก็กำลังซุ่มทำเดโมเพลงเพื่อส่งเข้าประกวดในงาน Life in a-day เดือนมกราคม นอกจากนี้ งานประจำที่เขาทำอยู่ยังเป็นสิ่งที่เอื้อต่อการพัฒนางานดนตรีได้เป็นอย่างดี
" จริงๆแล้วงานด้าน เว็บ ดีไซน์ ก็เกี่ยวข้องกับเรื่องงานเพลงนะ อย่างในการออกแบบงานแต่ละงานเราต้องตีโจทย์ของลูกค้า จับประเด็นของตัวลูกค้าการออกแบบให้ได้ ก็เหมือนกับเราฟังเพลง ถ้าสไตล์การฟังเพลงเราฟังแจ๊ซซ์ หลักการทำงานของเราจะออกมาเป็นแบบนุ่มนวล คล้ายๆทางสร้างทางเลือกให้เรามากขึ้น ทัศนคติที่เรามีมันจะสูงขึ้น ฐานลึกมากขึ้น เพราะพวกงานออกแบบก็ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทำให้มีสุนทรียะในการทำเพลงมากขึ้นนะ"
ในการทำเพลงของแต่ละคนจะว่าไปน่าจะมีเหตุผลในการจูงใจแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น เอ๋ นักร้องนำวง Ugly Bugs ที่การทำงานเพลงนั้นหมายถึงการสร้างสรรค์งานศิลปะ เรียกได้ว่าการตอบสนองอารมณ์ของผู้ฟัง การทำให้ผู้ฟังเสพย์งานเพลงและมีทั้งความสุข และ ทุกข์ไปกับการฟังเพลงของเขา แต่จะว่าไปแล้วทัศนะคงจะไม่หนีจาก ตุ๊ก บราสเซอรี่ ที่เขายืนยันว่า 'การเล่นดนตรีนั้นคือชีวิต'
"เราเดินทางก็เพราะมัน เราได้เจอคนดีๆ ในชีวิต ได้เจอคนแย่ๆ ในชีวิต ก็เพราะดนตรี อธิบายยากมากนะ แต่ดนตรีมันเป็นชีวิตเราไปแล้ว"
'วินัย' คือ สิ่งที่นักดนตรีทุกรุ่นควรมี ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปอีกกี่สิบปี เพราะนั่นคือจะเป็นสิ่งหนึ่งที่บอกได้ว่า ชีวิตคนดนตรีได้พัฒนาไปถึงจุดไหน ตุ๊กมีความเห็นว่า วินัยอาจมิใช่เพียงแค่การตรงเวลา แต่วินัย อาจหมายถึงการรู้จักเรียนรู้อย่างไม่อาจจบสิ้น " อย่างตัวเรายังกินเหล้าสูบบุหรี่ แต่ว่าทุกวันเราจะซ้อมดนตรี เราจะค้นคว้า และเราจะฟังแบบเอาเรื่อง เป็นเรื่องเป็นราว เวลาพักผ่อนกีต้าร์ก็จะหยิบมาฝึกฝนตลอด การซ้อมมันจะไม่ใช่เอาเพลงมาแกะ แล้วก็นัดมาซ้อมกัน แต่ต้องฟังให้เยอะ ทีนี้เราจะอิมโพไวซ์ เราจะด้น ถ้าเกิดเราฟังมาก ความรู้เราก็จะเยอะ เราจะมีความสามารถเหมือนตามใจสั่ง แล้วถ้าฝันว่าจะเล่นให้ดี มีมือกลองเป็นร้อยเป็นพันให้เราศึกษา มันไม่มีวันจบสิ้น นั่นแหละวินัย ทีนี้จะไปเล่นกับใครก็ได้"
" ลองสังเกตดูว่ามือหนึ่งของโลกเขาจะไม่หยุดนิ่ง เขาจะมีอะไรใหม่ๆค้นคว้าอยู่ตลอดเวลา เปิดอินพุดตลอดๆ แล้วก็เอ้าท์พุทออกมา คือทั้งรับทั้งให้ เพราะมันอยู่ในอากาศธาตุนั้นแหละ" ตุ๊ก แสดงความคิดเห็นได้อย่างน่าสนใจ เช่นเดียวกับเอ๋ ที่แม้ว่าการทำงานเพลงของเขาจะเป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะก็ตาม
" เราทำงานศิลปะ เราก็จะเล่นในเพลงที่แบบที่เราอยากเล่นด้วย บางครั้งเราก็ต้องเล่นให้ลูกค้าด้วย เพื่อเอาใจตลาด ทำงานแบบนี้ก็ต้องอาศัยตัวเองมาก เพราะว่าไม่มีใครมาแบบบังคับให้ทำ สำหรับเรา ถึงงานศิลปะจะไม่มีการดูหมิ่นกัน ไม่มีการแคลนกัน ไม่มีการเบียดเบียนกัน ไม่มีผิดไม่มีถูก แต่ว่าก็ต้องมีระเบียบวินัย ต้องตรงเวลา ต้องแต่งตัวให้ดีหน่อย เพราะมันคือการเคารพตัวเอง"
แน่นอนว่าการพัฒนางานเพลงของนักดนตรีนั้น ไม่ว่าจะเล่นเป็นอาชีพ หรือเล่นเป็นงานเสริมรายได้พิเศษก็ล้วนแล้วแต่มีความฝันที่จะทำเพลงในแบบของ ตัวเองสักครั้ง แม้กระทั่งความหวังของมืด
" ตอนนี้กำลังทำเดโมเพลงกับเพื่อน จุดมุ่งหมายก็คืออยากไปงาน Life in a-day ตอนเดือนมกราคม เลย production กันเองที่เชียงใหม่เลย เพราะเราร้องเพลงคนอื่นมา 2 ปีแล้ว จนคิดว่าน่าจะมีเพลงเป็นของตัวเองบ้าง"
สำหรับเอ๋นั้น เขาเชื่อว่า 'ความสามารถของการตกผลึกงานเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด' คล้ายกับ 'เหล้าดี ที่ต้องบ่มนาน' ที่อาจสอดคล้องกับทัศนะของ มืด ที่มีต่อนักดนตรีในสมัยใหม่ ที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้มารฐานของการจ้างงานนักดนตรีไม่สูง อย่างที่น่าจะเป็น
" เด็กสมัยนี้เก่งๆ เรื่องเพลงเยอะ เพราะอย่างสมัยก่อน กว่าเราจะเริ่มมาฟังเพลงที่มันยากขึ้น ก็ต้องใช้เวลานาน เด็กสมัยนี้อายุสิบแปดก็รู้จัก George Benson แล้ว เพราะโลกไปได้เร็วกว่าเดิม ซึ่งก็คงจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีหลายคนเหมือนกันที่มั่นใจในตัวเองเกินเหตุ ทั้งๆที่น่าจะเริ่มจากต่ำๆก่อนแล้วค่อยทะยานขึ้นไป ไม่รู้หรอกว่าฐานข้างล่างมันขึ้นมาอย่างไร ทำให้นักดนตรีในเชียงใหม่มาตัดราคากัน เรทค่าตัวเลยต่ำไปเรื่อยๆ อย่างเพื่อนเราเคยเล่นที่หนึ่งร้อยห้าสิบบาท ก็ถือว่าต่ำแล้วนะ เด็กมาใหม่ไฟแรงบางทีมาตัดเหลือร้อยเดียว ก็เลยทำให้มาตรฐานของนักดนตรีในเชียงใหม่ต่ำมาก"
โดยส่วนตัวแล้วมืดมีความเชื่อว่า ในอนาคตงานเพลงก็สามารถทำในเชียงใหม่ได้โดยที่ไม่ต้องไปถึงในกรุงเทพฯ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ นักดนตรีต้องมีใจที่รักในงานเป็นอันดับแรก " คือถ้าเราทำแล้วคาดหวังว่าเราทำเพื่อเราจะดัง อย่าหวังเลยดีกว่า สู้เราทำด้วยมันเป็นสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ เราทำไปด้วยใจรัก ขายได้ไม่ได้ไม่ว่ากัน สิ่งที่เป็นตัวตนของตัวคุณที่สุดถ้ามันดีขึ้นมา ใครจะสนว่าอยู่ที่ไหน" ส่วนเอ๋แสดงทัศนะว่าการทำงานในเมืองหลวงอาจมีปัจจัยทางการตลาดส่งเสริมมาก กว่า แต่อย่างไรการทำเพลงไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองไหน สิ่งสำคัญน่าจะอยู่ตรงที่ความคิด
ไม่ว่าแต่ละคนจะมีแนวทางการดำเนินชีวิตนักดนตรีในลักษณะใด แต่สำหรับภาพรวมสำหรับถนนดนตรีในเชียงใหม่นั้น หลายคนต่างยอมรับว่า พวกเขาต่างภูมิใจ และเต็มใจที่ได้มาเล่นดนตรีบนถนนสายนี้ โดยเฉพาะ ตุ๊ก-บราสซารี่ ที่กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ " เราค่อนข้างภูมิใจนะที่ว่าชีวิตใหม่ของเราที่เป็นนักดนตรีแล้วเราก็เกิดที่ นี่ เพราะมันก็ยังมีเสน่ห์ของมันอยู่ ถ้าจะว่าไปแล้ววงดนตรีท้องถิ่นของเราไม่ขี้เหร่เลยนะ ทำไมเวลามีงานดนตรีต้องจัดที่หัวหิน ที่สมุย เชียงใหม่ก็ทำได้ ถ้าเพียงมีการเคลื่อนไหวกันมากกว่านี้"
"เราว่าเชียงใหม่น่าจะเป็นเมืองแห่งดนตรีเลยล่ะ"

Copyright © 2006 HIP Magazine. All rights reserved.

พอดี เจอบทความที่น่าสนใจ เพราะ 'บราสซารี่' จะเป็นร้านแรกๆที่ไปนั่งดื่มกับเพื่อนๆสมัยเรียนหนังสือที่ มช. เพราะเป็นร้านที่เล่นดนตรีได้สดถึงใจ ได้เห็นเล่น 'November Rain' ด้วยเครื่องดนตรี 3 ชิ้นก็ที่ร้านนี้นี่แหละ โดยเฉพาะ Jimi Hendrix ต้องมีเล่นให้ฟังทุกคืน

ปัจจุบันก็ยังเป็นร้านแรกๆที่ไม่เคยพลาดจะไปเยือน หากมีโอกาสขึ้นไปเชียงใหม่...

7/30/2551

Madagascar: Escape 2 Africa ร่วมขบวนสำนวนสวนสัตว์







ให้เสียงพากย์: เบน สติลเลอร์ (Ben Stiller), คริส ร็อค (Chris Rock), เดวิด ชวิมเมอร์ (David Schwimmer), จาดา พิงเก็ตต์ สมิธ (Jada Pinkett Smith), ซาชา บารอน โคเฮน (Sacha Baron Cohen), แอนดี้ ริชเตอร์ (Andy Richter)
ผู้กำกับ: อีริค ดาร์เนล, ทอม แม็คกราธ
ผู้อำนวยการสร้าง: มิเรลล์ โซเรีย, มาร์ค สวิฟท์

เนื้อเรื่องย่อ
All the loveable characters are back-Alex the lion, Marty the zebra, Melman the giraffe and Gloria the hippo, King Julien, Maurice and the penguins-in 'Madagascar: Escape 2 Africa.' Left marooned on the distant shores of Madagascar, the New Yorkers have hatched a plan so crazy it just might work. With military precision, the penguins have repaired an old crashed plane-sort of. Once aloft, this unlikely crew stays airborne just long enough to make it to the wildest place of all-the vast plains of Africa itself-where our zoo-raised crew encounters species of their own kind for the very first time. While discovering their roots, they quickly realize the differences between the concrete jungle and the heart of Africa. Despite long-lost relatives, romantic rivals and scheming hunters, Africa seems like a 'crack-a-lackin' great place…but is it better than their Central Park home?

ตัวละครที่ผู้ชมรักกลับมาอีกครั้ง ทั้งสิงโตอเล็กซ์ ม้าลายมาร์ตี้ ยีราฟเมลแมน ฮิปโปกลอเรีย คิงจูเลียน มอริซและพลพรรคเพนกวิน ใน Madagascar: Escape 2 Africa หลังจากที่ถูกทิ้งในชายฝั่งเกาะมาดากัสการ์ที่ห่างไกลอารยธรรม เหล่าสัตว์จากนิวยอร์กก็ได้ร่วมกันวางแผนการที่เพี้ยนสุดๆ จนมันอาจเวิร์คก็ได้ เหล่าเพนกวินได้ลงมือซ่อมเครื่องบินเก่าๆ ที่ตกลงมายังเกาะแห่งนี้ด้วยความแม่นยำดุจทหาร เอ่อ ก็ทำนองนั้นแหละนะ เมื่อเครื่องบินบินขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว ลูกเรือเคราะห์ร้ายก็ลอยตัวอยู่ในอากาศได้นานพอที่จะมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่รกร้างผู้คนที่สุด นั่นคือผืนแผ่นดินแอฟริกาที่กว้างใหญ่ไพศาล ที่ซึ่งพลพรรคจากสวนสัตว์ของเราได้พบกับเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นครั้งแรก ในระหว่างที่ค้นพบรากเหง้าของตัวเอง พวกเขาก็ได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วถึงความแตกต่างระหว่างป่าคอนกรีตและใจกลางป่าแอฟริกา แม้ว่าจะมีทั้งญาติพี่น้องที่เพิ่งพานพบ คู่แข่งด้านความรักและนายพรานจอมวางแผน แอฟริกาก็ดูเหมือนจะเป็นสถานที่สุดวิเศษและเยี่ยมยอด 'สุดๆไปเลย'…แต่มันจะดีกว่าบ้านของพวกเขาที่เซ็นทรัลปาร์คจริงมั้ยนะ

7/23/2551

Navin’s Sala



@The River Promenade, Bangkok Exhibition Date: July 4th - August 10th, 2008 daily 10 a.m. - 6 p.m. (Free Admission)

Navin’s Sala is an event not to be missed! Internationally renowned Indian-Thai artist Navin Rawanchaikul celebrates the Asian premier of his unique artist’s monograph alongside the artist’s first ever retrospective exhibition.
Navin’s Sala is the much anticipated collaborative monograph by internationally renowned Indian-Thai artist Navin Rawanchaikul. Recognised for creating an imaginative brand of installation and interactive art that delivers novel methods of introducing contemporary art to the public, Navin celebrates the Asian premier of this unique artist’s publication with the artist’s first retrospective exhibition. First presented at the Cannes International Film Festival in May this year, this special event marks the first art exhibition to be held at Bangkok’s design conscious, waterfront landmark, The River Promenade. Against the dramatic backdrop of the Chao Phraya River, Navin’s Sala is an event not to be missed! Aside from the book itself, the occasion will be livened by an exclusive product launch of a new line of Jim Thompson’s Pha Khao Mar handbags and soft furnishings designed by Navin Production in collaboration with invited Thai designers. The new collection is inspired by the 50-page pull out photo novel Long Heart, included in Navin’s Sala. Accompanying the publishing of Navin’s Sala book is a significant retrospective exhibition spanning his 15-year career to date and featuring the international debut of several new works as well as many works never previously seen in Thailand. Highlighting works from his famous Navin Taxi Gallery through to present, the site-specific exhibition includes Navin’s epic 16-metre long Lost in the City mural narrating contemporary life in Bangkok, created in 2006 to commemorate the centenary of the birth of Jim Thompson. Responding to the unique architecture of the River Promenade, the expansive mural will be reinstalled in a site-specific response to the Promenade’s extraordinary city views. Incorporating film, sculptures, comics, and paintings, also on view is the limited edition Quotations From Comrade Navin ceramic bust and book set specially produced to celebrate the second anniversary of the formation of the faux political group the Navin Party. The exhibition also provides the first opportunity to see the new nine-metre long Navin’s Sala billboard painting that colourfully interweaves characters who’ve appeared in his narratives over the past 15-years. The exhibition Navin’s Sala is curated by Steven Pettifor, art critic and editor of the free monthly art resource guide Bangkok Art Map (BAM!). Sponsored by the luxury residential property developer Raimon Land, BAM! is marking its first anniversary by co-hosting Navin’s Sala at the exclusive River Promenade, located at Raimon Land’s prestigious new riverfront development “The River”. The exhibition is made possible through Raimon Land as host and Bangkok Art Map (BAM!) as media partners with the sponsorship of Thai Silk Co., Ltd. (Jim Thompson) and The Value Systems Co., Ltd. How to access The River Promenade? By Car At the bottom of Sathorn Road cross over Taksin Bridge and bear left once on the Thonburi side. At the first traffic light turn left onto Charoen Nakhorn Rd, go through one set of traffic lights, make a U-turn in front of the Peninsula Hotel, drive straight for 100 m. and left into Soi 13 and The River site. Limited parking is available at The River Promenade. By BTS/Boat The River’s special complimentary shuttle boat will be available throughout the exhibition. The boat leaves regularly from the Hotel Shuttle Boats Pier at Taksin Bridge, or can be arranged by calling The River Promenade: 0-2861-1971. To reach the pier, take the BTS Sky Train to the last stop, Saphan Taksin, and follow signs. Press – A press conference and exhibition tour will take place with the artist & curator at 3pm on Thursday July 3rd. Tours – Group and student tours can be arranged throughout the exhibition period. For more information, general inquires or to confirm attendance, please contact Khun Pear at the Bangkok Art Map (BAM!): tel: 0-2252-3900 / E-mail: bam@talisman-media.com

About Navin’s Sala
Navin’s Sala is a magazine-like art publication in which artist Navin Rawanchaikul along with his contemporary art production company Navin Production, and more than 30 international contributors, share their interests and provide multi-angled insights into the artist’s oeuvre. Featuring selected works from 1992 to present, Navin’s Sala contains everything from topical discussions and photo essays, to cocktail recipes and advertisements. The main concerns of the book revolve around the role of art and those involved in artistic production in relation to community and everyday life experiences. As in all of Rawanchaikul’s work, a particular relational aesthetic is sought in the production and the product of this book. Reflective of the function of the sala, a communal pavilion found in parks, temples and societal spaces throughout Thailand, Navin’s Sala seeks to be a public forum. A platform for conversation amongst artists, groups of friends, associates and passers-by who happen to be interested in, and open to, one another’s stories; a meeting place for crossing community boundaries between contributors and readers. Covering almost 500 pages, Navin’s Sala includes a variety of topical sections ranging from Society to Leisure, Culture and Politics, Food and Beverage, Comic, Game, Sex, Horoscope and much, much more. Hosted by Navin Production’s collaborative publisher, Galerie Enrico Navarra, Navin’s Sala was first presented at Cannes in May 2008 accompanied with a special exhibition at Villa UGC during the 61st Cannes International Film Festival. Upcoming scheduled presentations of the book will feature at several international venues with the main launch taking place in Bangkok in early July in conjunction with the artist’s retrospective exhibition at The River Promenade. Navin’s Sala is made possible with the collaboration between Navin Production and Galerie Enrico Navarra with sponsorships of the Thai Silk Co., Ltd. (Jim Thompson); Value Systems Co., Ltd; Tilton Gallery and Tang Contemporary Art.

About the Artist
Born in 1971 in Chiang Mai, Navin Rawanchaikul is a Thai citizen with permanent resident status in Japan and whose ancestral roots are from the Hindu-Punjabi communities of present day Pakistan. As an artist Rawanchaikul has developed a unique and vast body of works that rely heavily on team spirit and collaboration, and are most often produced under the banner of Navin Production. His artistic development began with works deeply rooted in local communities and everyday life experiences. In 1995, he initiated the landmark project Navin Gallery Bangkok, in which an ordinary Bangkok taxicab was transferred into a mobile art space. Its great success prompted several versions of the Taxi Gallery that visited more than 10 cities including Sydney, Birmingham, Bonn, Bordeaux, Fukuoka and New York. Embarking upon more international presentations of his work, Rawanchaikul started to engage in a process of exploring the negotiation between local circumstances and trends of globalisation. Following this path, the artist has become renowned for dynamic art works which involve direct community interventions, social commentary, and an innovative style of integrating community or individual experiences into eccentric fictional tales. His oeuvre encompasses a broad array of media including installation, film, performance, mobile galleries, billboards, comics, games, cocktails, and he has even formed his own pseudo political party, the Navin Party. Rawanchaikul has participated in numerous international exhibitions and has held solo shows at prestigious institutions including the Palais de Tokyo in Paris, New York’s P.S.1 Contemporary Art Center, and recently at the Jim Thompson Art Center in Bangkok, where he displayed the multifaceted exhibition Lost in the City to commemorate the centennial of Jim Thompson. Rawanchaikul’s works have been widely collected by distinguished art institutions and private collectors around the world. Rawanchaikul divides his time between his family in Fukuoka, Japan, and his hometown of Chiang Mai where Navin Production is based.

For more information on the artist and Navin Production please visit
www.navinproduction.com and www.navinparty.com for Navin Party projects.


นิทรรศการ 'ศาลานาวิน' เดอะริเวอร์ พรอเมอนาด, กรุงเทพฯ 4 กรกฎาคม ถึง 10 สิงหาคม 2551 เวลา 10.00-18.00 น. (เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย)

หลังจากไปเรียกน้ำย่อย ปลุกกระแสฮือฮาในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปีนี้มาแล้ว 'ศาลานาวิน' หวนกลับบ้านมาสร้างสีสันให้อาคารริมน้ำล้ำอนาคต บนทำเลทองริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ 'เดอะริเวอร์ พรอเมอนาด' ซึ่งจะขับกล่อมงานเปิดตัวหนังสือที่พ่วงมากับนิทรรศการแสดงผลงานย้อนหลัง ของนาวิน ลาวัลย์ชัยกุล ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการใดๆ
'ศาลานาวิน' ผลงานหนังสืออันเป็นที่ตั้งตาคอย ของนาวิน ลาวัลย์ชัยกุล ศิลปินไทยเชื้อสายอินเดีย ผู้เปี่ยมด้วยจินตนาการผ่านผลงานศิลปะร่วมสมัยที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ นาวินจะฉลองความสำเร็จกับผลงานหนังสือเล่มดังกล่าว ด้วยนิทรรศการผลงานย้อนหลังตลอดเวลา 15 ปี ในเส้นทางอาชีพศิลปิน พร้อมเปิดประเดิมคอลเลกชั่นกระเป๋าถือผ้าขาวม้าชุดใหม่ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากการสร้างสรรค์ร่วมกันระหว่าง จิม ทอมป์สัน กับนาวินโปรดักชั่น ปานประหนึ่งนิยายภาพ 'หลงหาด' จำนวน 50 หน้าที่แทรกในหนังสือ
นิทรรศการประกอบด้วยผลงานใหม่ที่ไม่เคยผ่านตาผู้ชมชาวไทยมาก่อน ไปจนถึงผลงานเก่าที่สร้างชื่อเสียง กล่าวได้ว่านิทรรศการที่ผ่านมาของนาวินในเมืองไทย ไม่เคยมีครั้งใดจะรวบรวมผลงานได้พร้อมสรรพคับคั่งเทียบเท่าครั้งนี้ เพราะเป็นการคัดสรรจากตั้งแต่ผลงานยุคแท็กซี่ จนถึงผลงานจากนิทรรศการ 'หลงกรุง' ที่จัดเมื่อปี พ.ศ 2549 เพื่อร่วมฉลองวาระคล้ายวันเกิดครบรอบ 100 ปี ของราชาไหมไทย จิม ทอมป์สัน ที่ผ่านมา และผลงานชุด 'พรรคนาวิน' ที่รวมพลนาวินจากทั่วทุกมุมโลก นิทรรศการนี้ยังเป็นโอกาสแรกสำหรับการเปิดตัวจิตรกรรม 'ศาลานาวิน' ความยาว 9 เมตร บรรจุตัวจริงเสียงจริงที่ปรากฏในตำนานการสร้างสรรค์ของนาวิน ผลงานทั้งหมดถูกติดตั้งให้สอดประสานไปกับรูปลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมอันเป็นแบบฉบับเฉพาะของ 'เดอะริเวอร์ พรอเมอนาด' ขนาบคู่กับฉากหลังที่ไม่เคยหลับใหลของกรุงเทพฯ
นิทรรศการ 'ศาลานาวิน' คัดสรรโดยสตีเฟน เพททิฟอร์ นักวิจารณ์ศิลป์และบรรณาธิการของสิ่งพิมพ์แจกฟรีที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับศิลปะร่วมสมัยในกรุงเทพฯ รู้จักในชื่อ 'แบม-Bangkok Art Map (BAM!)' เอื้อเฟื้อการผลิตโดยบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ในโอกาสครบรอบ 1 ปี แบมจึงได้รับโอกาสอันดียิ่งในการเป็นผู้ร่วมจัดนิทรรศการ นิทรรศการครั้งนี้เกิดจากการร่วมมือจากการร่วมมือระหว่างบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะเจ้าภาพและแบมในฐานะสื่อร่วมประชาสัมพันธ์ ด้วยการสนับสนุนจากบริษัทอุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด (จิม ทอมป์สัน) และบริษัทเดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด สำหรับสื่อมวลชน การแถลงข่าว พร้อมศิลปินและภัณฑารักษ์นำชมนิทรรศการ จะจัดในวันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม เวลา 15.00 น. การเข้าชมเป็นหมู่คณะ กรุณาแจ้งและนัดล่วงหน้า การเดินทางไป เดอะริเวอร์ พรอเมอนาด ทางรถยนต์ ถนนเจริญนคร ผ่านโรงแรมเพนนินซูล่า ประมาณ 100 เมตร เข้าซอย 13 สู่พื้นที่ตั้งโครงการเดอะริเวอร์ มีที่จอดรถบริการ ทางรถไฟฟ้าบีทีเอสต่อเรือ ลงสถานีสะพานตากสิน เดินตามป้ายบอกทาง 'เดอะ ริเวอร์' ไปที่ท่าเรือโรงแรมเชิงสะพานตากสิน เรือรับส่งข้ามฟากระหว่างท่าโรงแรมกับท่าของเดอะริเวอร์ บริการฟรีตลอดช่วงเวลานิทรรศการ 10.00 - 18.00 น.หรือโทรสอบถามได้ที่หมายเลข 0-2861-1971 ข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ คุณแพร์ โทฯ 0-2252-3900 อีเมล์ bam@talisman-media.com

เกี่ยวกับหนังสือ 'ศาลานาวิน' ‘ศาลานาวิน’ เป็นการทำงานในรูปแบบนิตยสาร โดยนาวิน ลาวัลย์ชัยกุล ร่วมกับ นาวินโปรดักชั่น พร้อมกับนักเขียนรับเชิญกว่า 30 ชีวิต ผู้มาร่วมกันแบ่งปันมุมมองตามความถนัดแต่ละคนเกี่ยวกับผลงานของนาวิน เนื้อหาในเล่มครอบคลุมผลงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 จนปัจจุบัน ‘ศาลานาวิน’ จึงอัดแน่นไปด้วยเนื้อหาทุกประเภทตั้งแต่การถกเถียงและอภิปรายในประเด็นต่างๆ เรียงความภาพถ่าย ไปจนถึงสูตรค็อกเทลและโฆษณา ประเด็นหลักที่เกี่ยวร้อยเนื้อหาทั้งหมดภายในเล่มก็คือบทบาทและส่วนร่วมของการผลิตเชิงศิลปะ ที่ไปสัมพันธ์กับชุมชนและประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน จากการสังเกตการณ์ประโยชน์ใช้สอยของศาลา ไม่ว่าเพื่อเป็นแหล่งชุมนุมของผู้คนตามสวนสาธารณะ, วัด หรือใช้เป็นพื้นที่สำหรับการพบปะไปมาหาสู่ เห็นดาษดื่นทั่วประเทศไทยก็ดี ‘ศาลานาวิน’ จึงแสวงหาหนทางในการทำหน้าที่เป็นเวทีพบปะเพื่อสื่อสารระหว่างศิลปิน มิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดทำให้หนังสือหนาเกือบ 500 หน้า จัดเป็นหมวดหมู่หลากหลาย นับตั้งแต่หน้าสังคมไปจนถึงการเมืองและวัฒนธรรม, อาหาร, การ์ตูน, เกม, เซ็กส์, ทำนายทายดวงชะตาและอื่นๆ อีกมากมาย ‘ศาลานาวิน’ สำเร็จลงได้ด้วยความร่วมมือระหว่างนาวินโปรดักชั่น กับแกเลอรี เอนริโก นาวารา ด้วยการสนับสนุนอันดีจากบริษัทอุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด (จิม ทอมป์สัน), บริษัทเดอะแวลลูซิสเตมส์ จำกัด และ ถัง คอนเทมพอรารี อาร์ต ‘ศาลานาวิน’ เผยแพร่เป็นครั้งแรกที่เมืองคานส์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการที่ วิลลา ยูจีซี (Villa UGC) ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 61 จากนั้นจะตระเวนไปเปิดตัวยังที่ต่างๆ ในระดับนานาชาติ อนึ่ง การเปิดตัวที่กรุงเทพฯ ในต้นเดือนกรกฎาคมศกนี้ จึงประจวบเหมาะแก่การนำเสนอนิทรรศการผลงานย้อนหลังของนาวินอีกด้วย

เกี่ยวกับศิลปิน นาวิน ลาวัลย์ชัยกุล เกิดที่เชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.2514 ปัจจุบันเดินทางไปมาระหว่างฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่นและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของนาวินโปรดักชั่น บรรพบุรุษของเขาสามารถสืบย้อนไปไกลถึงชุมชนฮินดูปัญจาบที่ปัจุบันนี้คือปากีสถาน การคลี่คลายเติบโตตลอดอาชีพศิลปินของนาวินเกี่ยวโยงกับการทำงานร่วมมือกันภายใต้ตราประทับนาวินโปรดักชั่น ที่เขาตั้งขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.2537 ความคิดทางศิลปะส่วนหนึ่งของเขาผุดมาจากการสัมผัสสำรวจชุมชนท้องถิ่นและประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน นับจากปี พ.ศ.2538 เขาได้ริเริ่มโครงการศิลปะที่เป็นดั่งการปักหมุดกรุยทางสู่เวทีศิลปะโลก นั่นคือ ‘นาวิน แกเลอรี่ กรุงเทพ' โดยเปลี่ยนห้องโดยสารในรถแท็กซี่ให้กลายเป็นหอศิลป์เคลื่อนที่ ความสำเร็จของโครงการแท็กซี่แกเลอรี่นี้ ผลักดันนาวินไปสู่การแสดงผลงานอย่างมิได้หยุดหย่อนตามมหานครศิลปะทั่วโลก เมื่อออกเดินทางแสดงผลงานระดับนานาชาตินาวินต้องเผชิญกับผู้ชมและบริบทที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ทำให้ต้องหันมาใช้กระบวนการทำงานในเชิงสำรวจระหว่างการธำรงไว้ซึ่งภาวการณ์ปัจจุบันของชุมชนท้องถิ่น กับแนวโน้ม ภายนอกจากขบวนการโลกาภิวัตน์ จนทำให้นาวินเป็นที่ยอมรับสำหรับศิลปะที่มีพลวัตซึ่งไปพัวพันหรือขัดจังหวะชุมชน วิพากษ์สังคมและผลักดันให้เกิดนวกรรมทางรูปแบบของชุมชนบูรณาการ หรือประสบการณ์ส่วนบุคคลให้เปลี่ยนไปสู่เรื่องเล่าและตำนานอันผาดโผน ผลงานของเขาครอบคลุมสื่อนานาประเภท ตั้งแต่การจิตรกรรมและประติมากรรมจัดวาง, ภาพยนตร์, ศิลปะแสดงสด, หอศิลป์เคลื่อนที่, ป้ายโฆษณา, การ์ตูน, เกม, ค็อกเทล รวมทั้งการตั้งพรรคการเมืองกำมะลอที่ชื่อว่าพรรคนาวิน นาวินเคยจัดแสดงผลงานนิทรรศการเดี่ยวตามสถาบันศิลปะที่มีชื่อเสียง อาทิ ศูนย์ศิลปะปาเลส์เดอโตเกียวที่ปารีส, ศูนย์ศิลปะ พีเอสวัน คอนเทมพอรารีอาร์ต นิวยอร์ก และไม่นานมานี้ที่ศูนย์ศิลปะจิม ทอมป์สัน กรุงเทพฯ ด้วยนิทรรศการ 'หลงกรุง' เพื่อฉลองวาระคล้ายวันเกิดครบรอบ 100 ปีของ จิม ทอมป์สัน ผลงานของเขาถูกสะสมทั้งโดยสถาบันฯ และนักสะสมเอกชนทั่วโลก

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดชม www.navinproduction.com และ www.navinparty.com
ภาพบางส่วนจากกล้องส่วนตัวและจากคุณแพร (BAM!)

7/02/2551

Nai Tho Wooden Dolls

The Kite Runner น่าดูและน่าอ่าน



The Kite Runner
อีกหนึ่งภาพยนตร์สุดประทับใจแห่งปีที่คอหนังฟิล์มและคอหนังสือไม่ควรพลาด ภาพยนตร์แห่งมิตรภาพของเด็กสองคนที่ผูกพันแนบแน่นท่ามกลางสงครามอันเลวร้าย หนึ่งในความประทับใจแห่งปี

The Kite Runner สร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของ ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้วในชื่อว่า 'เด็กเก็บว่าว' โดยวิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ซึ่งความงดงามของบทประพันธ์นี้ ได้โลดแล่นสู่จอภาพยนตร์ด้วยฝีมือของผู้กำกับ มาร์ค ฟอร์สเตอร์ จาก Finding Neverland เขาได้เสาะหาตัวแสดงเด็กที่จะมาสวมวิญญาณแสดงนำในเรื่องนี้อย่างตั้งใจ เพื่อให้สมจริงที่สุดตรงกับบทประพันธ์ที่สุด ทางผู้กำกับทีมงานได้เลือกเด็กจากกรุงคาบูล อัฟกานิสถานตามท้องเรื่องจริงๆ และแทนที่จะจัดออดิชั่นบทตามปกติ ก็ใช้วิธีพาพวกเขาออกไปเล่นว่าว เพื่อดูลักษณะอาการของพวกเขาขณะผ่อนคลายและสนุกสนาน และในที่สุดก็ได้เด็กชายชาวคาบูล 3 คนมาแสดง คือ ซีกีเรีย เอบราฮามี่ เด็กนักเรียนเกรด 5 รับบทเออเมียร์, อาห์หมัด ข่าน มาห์มูดซาด้า และอาลี ดาเนช บากห์ทยารี ซึ่งองค์กรบรรเทาทุกข์อัฟกันเป็นผู้ค้นพบตัว รับบทเป็นฮัสซาน และโซหรับ

Book
Film
Trailer

เกมซ่าท้ากึ๋น Kasou Taishow สร้างความอบอุ่นให้แก่ครอบครัว

เคยได้ดูรายการญี่ปุ่นรายการนี้มาหลายปีแล้ว และจากที่เคยได้ดูตามวันหยุดนักขัตฤกษ์ ต่อไปน่าจะได้ดูแบบเต็มอิ่มมากขึ้น
เนื่องจากตามผังรายการได้บรรจุรายการนี้ไว้ประจำวันพุธเรียบร้อยแล้ว มาให้ดูกันเต็มอิ่ม 1 ชั่วโมงเต็ม ว่ากันว่าเป็นสุดยอดเกมโชว์ที่แข่งขันกันสร้างสรรค์ความคิด และสมานฉันท์การทำงานเป็นทีม โดยครองแชมป์รายการยอดนิยมในประเทศญี่ปุ่น ติดต่อกันถึง 30 ปี

หลังจากได้ดูประเดิมเทปแรกแล้ว ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้รับความนิยมกันนักหนา เนื่องจากเป็นเกมโชว์ที่ต้องใช้ความคิดในการแสดงออกภายใต้ความกดดันในเงื่อนไขของเวลา ไม่จำกัดอายุ ผู้แสดงมีทั้งเด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงวัย อย่างที่ดู มีโชว์ที่เด็กออกมาแสดงคนเดียว โดยสร้างลักษณะของสัตว์ต่างๆออกมา ทั้งที่ตัวเองอยู่ในกล่อง แม้ในระยะเวลาอันน้อยนิด อาจมีการติดขัดบ้าง ถือว่าเป็นการฝึกความอดทนและไหวพริบ อีกโชว์ที่ประทับใจคือโชว์บรู๊ซลี โดยมีผู้แสดง 2 คน วาดลวดลายของบรู๊ซลีออกมา ทั้งควงกระบอง เตะต่อย กระโดดเหิรเวหา เป็นโชว์ที่เรียกเสียงหัวเราะได้โชว์หนึ่ง

ปิดท้ายให้อีกคือโชว์เครื่องซักผ้า โดยให้ผู้แสดงทั้งหลายเป็นเสื้อผ้าหลากสีที่อยู่ในเครื่องซักผ้าขนาดยักษ์! เมื่อเครื่องซักผ้าทำงาน บรรดาเสื้อผ้าทั้งหลายก็โยกย้าย เต้นไปมาตามเพลงประกอบ ถึงแม้จะใช้ผู้แสดงเยอะ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะและประทับใจได้มากโข

ในรายการเกมซ่าท้ากึ๋น Kasou Taishow เราอาจจะได้เห็นการทำงานของคนคนเดียว หรือมากันทั้งครอบครัว ตั้งแต่ปู่มายันหลานเหลนก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่า รายการมีติดต่อกันถึง 30 ปีในญี่ปุ่น แต่บ้านเราก็ยังคงวนเวียนกับการประกวดร้องเพลง การแสดงที่อาศัยความสามารถน้อยนิดกว่าหน้าตาของผู้เข้าประกวดอยู่เลย น่าเสียดายรายการดีๆเช่นนี้ อาจเป็นเพราะบ้านเรายังไม่เคยส่งเสริมในเรื่องของการแสดง ความคิดสร้างสรรค์ และศิลปะกันอย่างจริงจังก็เป็นได้ เพราะยังคงหลงไหลมัวเมาไปกับละครที่เคยเห็นมา 30 ปีเช่นไร ก็วนเวียนกับตัวละครแบบนั้นอยู่ต่อไป อยากรู้ว่าอีกนานไหมที่บ้านเราจะมีรายการดีๆแบบนี้บ้าง...

ตัวอย่างรายการจาก mcot.net
http://hiptv.mcot.net/player/hipPlayer.php?SelectSpeed=256k&id=16712